ภาษีทรัมป์จ่อฉุด Apple แบกต้นทุนเพิ่มอีก 3 หมื่นล้าน แม้ผลงาน Q2/68 เติบโตดีกว่าที่คาด

ข่าวด่วนวันนี้ (ข่าวทั่วไทย)

ผลประกอบการ Q2/68: เกินความคาดหมาย แต่ยังมีจุดอ่อน

Apple ประกาศผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 (สิ้นสุดเดือนมีนาคม 2568) ด้วยตัวเลขที่น่าประทับใจกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ โดยมีรายได้รวมสุทธิสูงถึง 95,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เหนือกว่าที่นักวิเคราะห์จาก LSEG คาดการณ์ไว้ที่ 94,660 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อย่างไรก็ตาม ตลาดกลับตอบรับข่าวดังกล่าวในเชิงลบ ส่งผลให้ราคาหุ้นของบริษัทร่วงลงไปสูงสุดถึง 4% หลังจากปิดตลาด สาเหตุหลักมาจากรายได้ในกลุ่มธุรกิจบริการ (Services) และกลุ่มอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) ที่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

ในด้านกำไรสุทธิ Apple สามารถทำได้ 24,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นจาก 23,640 ล้านดอลลาร์สหรัฐในช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นกำไรต่อหุ้น 1.65 ดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) ที่ 47.1% ซึ่งเป็นไปตามที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

สินค้าหลักยังคงแข็งแกร่ง

ผลิตภัณฑ์หลักของ Apple โดยเฉพาะ iPhone ยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของบริษัท โดยสร้างรายได้สูงถึง 46,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 45,840 ล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ Mac และ iPad ก็ทำผลงานได้ดีเช่นกัน โดยมีรายได้ 7,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และ 6,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐตามลำดับ ซึ่งสูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ทั้งคู่

ความสำเร็จของกลุ่มผลิตภัณฑ์ iPad และ Mac นั้นส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือนมีนาคม ได้แก่ iPad Air รุ่นใหม่และ MacBook Air รุ่นใหม่ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้บริโภค ในทางตรงกันข้าม กลุ่มผลิตภัณฑ์ Wearables, Home และ Accessories กลับมีรายได้ลดลง 5% โดยอยู่ที่ 7,520 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 7,950 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบมาจากการเปิดตัว Vision Pro ในช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจบริการ: เติบโตดี แต่ต่ำกว่าความคาดหวัง

ในส่วนของธุรกิจบริการ ซึ่งรวมถึง iCloud, Apple Music, Apple TV+, การรับประกัน และข้อตกลงกับ Google นั้น แม้จะมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 11.65% โดยมีรายได้ 26,650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แต่ก็ยังต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 26,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวลงเมื่อเทียบกับปีก่อนที่เติบโตถึง 14.2% ทั้งนี้ ธุรกิจบริการนับเป็นส่วนสำคัญที่สร้างกำไรให้กับ Apple ในอัตราที่สูง จึงเป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนรู้สึกกังวล

ผลกระทบจากนโยบายภาษีนำเข้าของทรัมป์

Tim Cook ซีอีโอของ Apple ได้ให้ข้อมูลระหว่างการประชุมกับนักวิเคราะห์ว่า ในไตรมาสที่ผ่านมา บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เนื่องจากบริษัทสามารถบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม Cook คาดการณ์ว่าในไตรมาสถัดไป Apple อาจจะต้องแบกรับต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 900 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นเงินไทยประมาณ 30,052 ล้านบาท หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายภาษีจากทางรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งเป็นความท้าทายอย่างมากสำหรับบริษัทในการรักษาระดับอัตรากำไรไว้

การปรับตัวของ Apple กับนโยบายภาษีใหม่

เพื่อรับมือกับนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ที่มุ่งเป้าไปยังสินค้าจากจีนเป็นหลัก Apple ได้ทำการปรับเปลี่ยนฐานการผลิตของตนเพื่อลดผลกระทบ โดย Tim Cook เปิดเผยว่า ปัจจุบัน iPhone ที่จำหน่ายในตลาดสหรัฐฯ ประมาณครึ่งหนึ่งผลิตจากอินเดีย ส่วนสินค้าอื่น ๆ อีกหลายรายการได้ย้ายฐานการผลิตไปยังเวียดนาม ซึ่งมีอัตราภาษีนำเข้าที่ต่ำกว่าจีน

อย่างไรก็ตาม Apple ยังคงต้องพึ่งพาจีนเป็นฐานการผลิตหลักสำหรับตลาดโลก เนื่องจากจีนมีความพร้อมทั้งในแง่ของทรัพยากร แรงงานที่มีทักษะ และระบบโลจิสติกส์ที่มีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ Cook ยังเปิดเผยอีกว่า ในปีนี้ Apple มีแผนที่จะซื้อชิปที่ผลิตในสหรัฐฯ เป็นจำนวนมากถึง 19,000 ล้านชิ้น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของความพยายามในการลดความเสี่ยงจากความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

ความท้าทายในตลาดจีน และการฟื้นตัวของตลาดอเมริกา

ในส่วนของตลาดจีนแผ่นดินใหญ่ รวมถึงไต้หวันและฮ่องกง Apple ประสบกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง โดยยอดขายสินค้าและบริการในภูมิภาคนี้ลดลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 16,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่ง Tim Cook ชี้แจงว่าหากไม่คำนึงถึงผลกระทบจากอัตราแลกเปลี่ยน ยอดขายในจีนจะยังคงทรงตัว แสดงให้เห็นว่า Apple ยังคงรักษาฐานลูกค้าในตลาดจีนไว้ได้ แม้จะเผชิญกับการแข่งขันที่รุนแรงจากแบรนด์ท้องถิ่นอย่าง Huawei และ Xiaomi

ในทางกลับกัน ตลาดสหรัฐอเมริกากลับแสดงสัญญาณการฟื้นตัวที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเติบโตสูงถึง 8% ซึ่ง Tim Cook ยืนยันว่าการเติบโตดังกล่าวไม่ได้มาจากการที่ผู้บริโภคเร่งซื้อสินค้าก่อนที่นโยบายภาษีใหม่จะมีผลบังคับใช้ แต่เป็นผลมาจากความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และความนิยมในผลิตภัณฑ์ของ Apple ที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่อง

มุมมองในอนาคต

สำหรับไตรมาสถัดไป (สิ้นสุดเดือนมิถุนายน) Apple คาดการณ์ว่าจะมีการเติบโตของรายได้ในระดับตัวเลขหลักเดียว ระหว่างระดับต่ำถึงกลาง เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 85,780 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะอยู่ที่ประมาณ 46% ซึ่งลดลงเล็กน้อยจากไตรมาสปัจจุบันที่ทำได้ 47.1% สะท้อนให้เห็นถึงแรงกดดันด้านต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากนโยบายภาษีนำเข้าใหม่

นอกจากนี้ Tim Cook ยังได้เปิดเผยว่า Apple ได้ตัดสินใจเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ที่เคยประกาศไว้ในปีที่แล้วออกไปเป็นปีนี้ เพื่อให้มั่นใจว่าคุณภาพของฟีเจอร์ดังกล่าวจะได้มาตรฐานตามที่บริษัทกำหนดไว้ โดยฟีเจอร์ที่ถูกเลื่อนออกไปนั้นรวมถึงการอัพเกรด Siri และฟังก์ชันอื่น ๆ ที่เคยโฆษณาไว้ก่อนหน้านี้ ซึ่งการเลื่อนการเปิดตัวดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของ Apple ในตลาดที่เทคโนโลยี AI กำลังเป็นจุดขายสำคัญของผลิตภัณฑ์เทคโนโลยี

สรุป

แม้ว่า Apple จะสามารถทำผลประกอบการในไตรมาสที่ 2 ของปีงบประมาณ 2568 ได้ดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ แต่บริษัทยังคงเผชิญกับความท้าทายหลายประการในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นแรงกดดันจากนโยบายภาษีนำเข้าใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ที่คาดว่าจะทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในไตรมาสหน้า ความท้าทายในตลาดจีน และการเลื่อนการเปิดตัวฟีเจอร์ AI ที่อาจส่งผลต่อความสามารถในการแข่งขัน อย่างไรก็ตาม การที่ผลิตภัณฑ์หลักยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง และตลาดอเมริกาที่ฟื้นตัวได้ดี รวมถึงความพยายามในการกระจายความเสี่ยงด้านการผลิตไปยังประเทศอื่น ๆ เช่น อินเดียและเวียดนาม ก็เป็นปัจจัยบวกที่จะช่วยให้ Apple สามารถรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจไว้ได้ในระยะยาว