โควิด-เก็บภาษีที่ดิน 100% ไม่กระทบ ตลาดบ้านหรูปี 65 เดือด บิ๊กอสังหาฯ เดินเกมช่วงชิงดีมานด์

เศรษฐกิจ (ในประเทศ - ต่างประเทศ)

ตลาดบ้านหรู หนึ่งเซกเมนต์ของกลุ่มที่อยู่อาศัยที่ยังคงเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มตลาดแนวราบที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากลูกค้าได้มีการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการเลือกซื้อโครงการที่อยู่อาศัยที่ต้องการพื้นที่รองรับการใช้ชีวิตประจำวัน และด้วยนโยบายที่ต้องทำงานที่บ้านมากขึ้น (WFH) หรือการเรียนการสอนผ่านระบบออนไลน์ ส่งผลให้ดีมานด์ในโครงการบ้านจัดสรรกลุ่มไฮเอนด์เติบโตในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา และยังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น

นายภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวถึงภาพรวมของตลาดบ้านหรูสำหรับปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา ว่า เห็นได้อย่างชัดเจนตลาดแนวราบยังคงเป็นดาวเด่นของตลาดที่ยังคงร้อนแรงและเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของอุปทานเปิดขายใหม่ และอัตราการขายที่ค่อนข้างร้อนแรง สวนกระแสภาพรวมตลาดอสังหาฯ ที่หลายฝ่ายมองว่าเป็นช่วงขาลง ซึ่งพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาด รวมถึงผู้พัฒนารายใหม่ต่างให้ความสนใจในการพัฒนาบ้านจัดสรร โดยเฉพาะบ้านจัดสรรระดับบน เปิดตัวโครงการกันอย่างดุเดือดในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา หลายโครงการประกาศปิดการขาย 100% ทั้งโครงการ หรือปิดการขาย 100% ในเฟสที่เปิดขายกันเป็นจำนวนมาก

 

สะท้อนให้เห็นถึงความร้อนแรงของกำลังซื้อของตลาดที่ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกลุ่มลูกค้าส่วนใหญ่ของบ้านจัดสรรระดับนี้จะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จที่ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาพรวมของเศรษฐกิจมากนักเหมือนในช่วงระดับราคาอื่นๆ ซึ่งฝ่ายวิจัยและการสื่อสารคอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ว่า ตลาดบ้านระดับบนยังมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ.2565 โดยพบว่าผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดแทบทุกรายปรับเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาบ้านจัดสรรในช่วงระดับนี้มากขึ้น เตรียมความพร้อมสำหรับการเปิดตัวโครงการใหม่ คาดว่าในปีนี้จะมีอุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านจัดสรรระดับราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาท รอการเปิดตัวกว่า 2,000 ยูนิต เปิดขายใหม่กระจายอยู่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ

ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพฯ พบว่า อุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านในระดับราคาขายมากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไปมีประมาณ 8,083 ยูนิต เฉลี่ยปีละ 1,616 ยูนิต/ปี และสำหรับในปี พ.ศ.2564 ที่ผ่านมา พบว่ามีอุปทานเปิดขายใหม่ของบ้านในระดับราคาดังกล่าวประมาณ 27 โครงการ 2,500 ยูนิต มูลค่า 34,500 ล้านบาท และกว่าร้อยละ 64.1 เป็นผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ พัฒนากระจายตัวอยู่ในหลายพื้นที่ของกรุงเทพฯ

 

โดยประเภทบ้านเดี่ยวยังคงเป็นรูปแบบที่ผู้พัฒนาสนใจพัฒนามากที่สุดของตลาดบ้านจัดสรรในระดับราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ในพื้นที่กรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบ อยู่ที่ประมาณร้อยละ 87 โดยในช่วงประมาณ 5 ปีที่ผ่านมา มีโครงการบ้านจัดสรรในระดับราคานี้เปิดขายมากขึ้นในทำเลกรุงเทพฯ ชั้นใน เพื่อทดแทนกลุ่มลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยระดับบนแต่ไม่อยากได้คอนโดฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยจำกัด ผู้พัฒนาหลายรายจึงเลือกที่จะพัฒนาบ้านจัดสรรขนาดเล็กในพื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นในเพื่อรองรับกำลังซื้อกลุ่มนี้ ซึ่งได้รับการตอบรับค่อนข้างดี แม้ช่วงที่ผ่านมาภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว แต่กำลังซื้อกลุ่มนี้ไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจเท่าใดนัก รวมถึงบ้านจัดสรรที่มีพื้นที่ใช้สอยที่กว้างขวาง ที่ดินขนาดใหญ่และมีการออกแบบที่โดดเด่น ตั้งอยู่ในพื้นที่รอบใจกลางเมืองที่สามารถเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบาย

 

โควิด-เก็บภาษีที่ดิน 100% ไม่กระทบกำลังซื้อบ้านหรู

นายภัทรชัย ให้ความเห็นถึงผลกระทบจากการมาเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ในอัตราเดิมที่เริ่มจัดเก็บในปี 2565 ว่า เรามองเฉพาะบ้านหรือคอนโดฯ ที่มีราคา 10 ล้านบาทขึ้นไป ไม่ว่าจะเป็นลักชัวรี หรือซูเปอร์ลักชัวรีไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากเรื่องจัดเก็บภาษีที่ดิน เพราะเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่อการอยู่อาศัยเป็นหลัก ไม่ใช่เพื่อการลงทุน ดังนั้น จะไม่มีผลต่อกำลังซื้อในตลาดกลุ่มนี้อย่างแน่นอน

“กลุ่มบ้านระดับลักชัวรีเป็นกลุ่มมีกำลังเงิน ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง เป็นการจัดครอบครัวใหม่ คิดว่าดีมานด์อยู่ในเกณฑ์ที่สูง ผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์เข้ามาชิงตลาดในส่วนนี้ และยังขยายตลาดพร้อมแตกแบรนด์ในเซกเมนต์บ้านและคอนโดฯ ระดับบนอย่างต่อเนื่อง ดีไซน์แปลกใหม่ เช่น บ้านเดี่ยว 3 ชั้น เป็นต้น หรือแม้แต่แบรนด์ เอสซีฯ โครงการบ้านระดับบนขายดีอย่างมาก สร้างไม่ทันต่อความต้องการของลูกค้า”

 

บิ๊กอสังหาฯ กระโจนชิงแชร์ตลาดบ้านหรู “บลูโอเชี่ยน”

นายภัทรชัย กล่าวว่า ณ สิ้นปี พ.ศ.2564 ภาพรวมตลาดบ้านจัดสรรในกรุงเทพฯ และพื้นที่โดยรอบมีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.3 ของทุกช่วงระดับราคา แต่หากพิจารณาเฉพาะบ้านจัดสรรในช่วงระดับราคาขายที่สูงกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป พบว่ามีอัตราการดูดซับเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณร้อยละ 4.8 ซึ่งสูงกว่าอัตราการดูดซับเฉลี่ยรวมของตลาดถึงร้อยละ 0.5 ซึ่งจากอัตราการดูดซับเฉลี่ยที่ค่อนข้างสูง สะท้อนให้เห็นถึงความสามารถด้านการขายของบ้านจัดสรรระดับบน นอกจากนี้ พบว่าบางโครงการสามารถปิดการขายได้ 100%

ฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์สฯ คาดการณ์ว่า ตลาดบ้านระดับบนยังมีแนวโน้มที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในปี พ.ศ.2565 ผู้พัฒนารายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประกาศเพิ่มสัดส่วนการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรระดับบนมากขึ้นในปี 65

สำหรับเทรนด์ของบ้านในระดับบนในปีนี้ สิ่งที่เป็นที่ดึงดูดใจลูกค้าเป็นสิ่งแรก คือ ทำเล ซึ่งต้องเป็นทำเลที่ดีอาจตั้งอยู่ในพื้นที่ใจกลางเมือง หรือทำเลศักยภาพที่สามารถเชื่อมต่อการเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมืองได้อย่างสะดวกสบาย และมีการพัฒนาฟังก์ชันต่างๆ ที่สามารถตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ได้มากที่สุด บ้านระดับบนมีแนวโน้มการพัฒนาอยู่บนที่ดินที่มีขนาดเล็กลง เป็นแนวบ้านทรงสูงขึ้น แต่ยังมีฟังก์ชันการใช้งานที่ครบครัน มีพื้นที่ใช้สอยที่มากพอสำหรับกลุ่มบ้านในระดับราคาสูง ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ที่มองหาบ้านในระดับนี้มักจะเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ ซึ่งกลุ่มลูกค้าเหล่านี้จะต้องการสิ่งที่ดีที่สุด ต้องการความแตกต่างและความโดดเด่น เป็นส่วนหนึ่งที่เสริมสร้างภาพลักษณ์ และยังมองว่าเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า

 

SC เหนียวแน่นแชมป์ตลาดบ้านแพง 10 ล้านบาทขึ้นไป

นายณัฎฐกิตติ์ ศิริรัตน์ หัวหน้าสายงานการตลาด บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC กล่าวถึงภาพรวมตลาดบ้านระดับบนว่ามีแนวโน้มเติบโตมาต่อเนื่อง โดยคาดว่าในสิ้นปี 2564 ที่ผ่านมา มูลค่าการขายของสินค้าแนวราบทั้งตลาดเพิ่มขึ้นไปทะลุ 100,000 ล้านบาท เป็นปัจจัยที่หนุนต่อการขายสินค้าแนวราบของบริษัท ทั้งนี้ เอสซีวางเป้าที่จะเป็นอันดับ 1 ในภาพรวมตลาดสินค้าแนวราบทุกระดับราคาภายในปี 2566 จากปัจจุบันที่อยู่อันดับ 2 ขณะที่บ้านเดี่ยวระดับราคา 5-10 ล้านบาท บริษัทฯ มีส่วนแบ่งตลาด (Market share) ในอันดับที่ 3 อีกทั้งมีแผนที่จะรุกตลาดแนวราบทุกระดับตลาดมากขึ้นในปี 2566 เช่นกัน

โดยที่ในปี 2565 บริษัทฯ มีแผนจะเปิดตัวบ้านเดี่ยวแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี จำนวน 1 โครงการ อีกทั้งจะทยอยเปิดโครงการแนวราบระดับราคา 5-10 ล้านบาทมากขึ้น โดยเฉพาะแบรนด์ VENUE ID ที่จะมีการเปิดใหม่ จำนวน 4-5 โครงการ ในโซนอื่นๆ และแบรนด์ VERV อีก 2-3 โครงการ และการกลับมาเปิดแบรนด์ PAVE อีก 2 โครงการ ในทำเลรังสิต และพุทธมณฑลสาย 4 จากแผนการเปิดโครงการใหม่ทั้งหมด 20 โครงการ

ทำให้บริษัทจะมีกลุ่มสินค้าแนวราบระดับราคา 5-10 ล้านบาท เข้ามาเสริมในพอร์ต ซึ่งจะเป็นไปตามเป้าหมายของบริษัทที่จะขึ้นเป็นอันดับ 1 ของตลาดแนวราบในทุกระดับราคา จากที่ปัจจุบันบริษัทเป็นผู้นำอันดับ 1 ในตลาดแนวราบระดับราคามากกว่า 10 ล้านบาทขึ้นไป

LH รักษาตลาดผู้นำโครงการแนวราบระดับกลาง-ไฮเอนด์

ขณะที่ บริษัทแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) ปี 65 เปิดเพิ่ม 15 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 29,520 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% เมื่อเทียบกับการเปิดโครงการใหม่ในปี 2564 แบ่งเป็นโครงการในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล 12 โครงการ และต่างจังหวัด 3 โครงการ ซึ่งโครงการส่วนใหญ่ที่เปิดตัวจะเป็นกลุ่มโครงการแนวราบ

อย่างไรก็ดี โครงการบ้านระดับไฮเอนด์ ทาง LH มีการเปิดตัวในหลายทำเลในราคาที่สูง เริ่มจากในไตรมาส 2 เปิดโครงการ VIVE พระราม 9 บ้านเดี่ยว จำนวน 75 หลัง ราคาเฉลี่ยอยู่ที่ 27.5 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่าโครงการ 2,060 ล้านบาท

ไตรมาส 3 กับโครงการนันทวัน พระราม 9 กรุงเทพกรีฑาตัดใหม่ บ้านเดี่ยว จำนวน 136 ยูนิต ราคาเฉลี่ย 37.9 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่าโครงการ 5,150 ล้านบาท และในไตรมาส 4 เปิดโครงการนันทวัน ปิ่นเกล้า กาญจนา บ้านเดี่ยว จำนวน 179 หลัง ราคาเฉลี่ยหลังละ 34.1 ล้านบาท มูลค่า 6,100 ล้านบาท และ โครงการมัณฑนา บางขุนเทียนชายทะเล บ้านเดี่ยว 90 หลัง ราคาเฉลี่ย 15.9 ล้านบาทต่อหลัง มูลค่า 1,430 ล้านบาท เป็นต้น

ออริจิ้นฯ กาง 6 โลเกชัน ตลาดบ้านหรูคึกคัก

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยกับ “ผู้จัดการรายวัน360 องศา” ถึงแนวโน้มตลาดบ้านหรูว่า เป็นโปรดักต์หรือเป็นตลาดที่ต้านโควิด-19 ได้ดี เหมือนกระเป๋าแบรนด์เนม นาฬิกาหรูๆ ที่ฟื้นตัวได้ดีมาก ตลาดบ้านหรูก็เช่นกัน ยังเติบโตได้อีกเยอะ ซึ่งโควิดเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดบ้านจัดสรรอยู่แล้ว ใครๆ ก็อยากมีบ้าน ถ้ามีกำลังผ่อน และในการพัฒนาโครงการเราต้องคิดถึงรูปแบบที่สามารถรองรับไลฟ์สไตล์ของผู้อยู่อาศัย เช่น พื้นที่การทำงานที่บ้าน เรียนออนไลน์ ต้องมีความเป็นส่วนตัว เสียงไม่ถูกรบกวน ซึ่งที่อยู่อาศัยไม่ใช่แค่การอยู่อาศัย แต่เป็นทุกอย่าง ไม่ว่ารองรับการเป็นที่ทำงาน โรงเรียน หรือเป็นแหล่งที่สามารถสร้างรายได้ (ทำสตูดิโอ)

ทั้งนี้ โลเกชั่นทีมีศักยภาพต้องให้ความสำคัญในเรื่องของอยู่ใกล้แหล่งที่มีความศิวิไลซ์ มีความเจริญเข้ามาเยอะ มีห้างสรรพสินค้าดีๆ ใกล้สนามบิน และมีโรงเรียนนานาชาติดีๆ ปัจจัยเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นแม่เหล็กใหญ่ที่ดึงดูดกำลังซื้อได้เป็นอย่างดี

“หากพูดถึงถนน โซนที่เหมาะกับการพัฒนาโครงการบ้านหรู ได้แก่ ถนนบางนา ถนนราชพฤกษ์ ถนนพระราม 9 ถนนรามอินทรา ถนนกัลปพฤกษ์ และพุทธมณฑล โดยใน 6 โลเกชัน ออริจิ้นฯ มีโครงการที่เข้าไปเปิดตลาดเกือบหมดแล้ว ซึ่งปีนี้เราจะไปพัฒนาโครงการที่พุทธมณฑลเพิ่ม แถวๆ วงแหวนปิ่นเกล้า และจะทยอยเปิดเรื่อยๆ ในทำเลศักยภาพ”

ศุภาลัยสร้างบ้านแพง เหตุราคาที่ดินพุ่งสูงขึ้น

ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) กล่าวกับผู้สื่อข่าวถึงการรุกตลาดแนวราบระดับลักชัวรีว่า ปีนี้จะมีการขยายพอร์ตและทำโครงการที่มีสไตล์ระดับลักชัวรีมากขึ้น เนื่องจากราคาที่ดินแพงขึ้น เช่น จากบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ดีไซน์เพิ่มเป็น 3 ชั้น โดยล่าสุดได้เปิดตัวบ้านเดี่ยวระดับระดับลักชัวรีที่ใหญ่ขึ้นกว่าโครงการก่อนหน้านี้ ภายใต้ชื่อโครงการใหม่ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” โดยหวังเป็นทางเลือกแรกของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เจาะกลุ่มลูกค้าระดับบนในทำเลดังกล่าว ตัวโครงการตั้งอยู่บนพื้นที่ 34 ไร่ พัฒนาในรูปแบบของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ขนาด 112.4-114 ตารางวา ราคาเริ่มต้นที่ 20-30 ล้านบาท จำนวน 86 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท ล่าสุดได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า และในปีนี้จะเปิดโครงการเพิ่มที่โซนพหลโยธิน 50 ราคาประมาณ 10-20 ล้านบาท

 

แสนสิริ เปิดโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรี

ขณะที่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) แม้จะปรับโปรดักต์เจาะตลาดระดับกลางลงล่าง แต่โปรดักต์ของบ้านหรูมีการทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้พร้อมเผยโฉมใหม่ของบ้านเดี่ยวแบรนด์สราญสิริดีไซน์ใหม่ ครองความเป็นผู้นำบ้านเดี่ยวระดับบน ด้วยการเปิดตัวแบรนด์ “บุราสิริ และเศรษฐสิริ” ต่อเนื่อง รวมทั้งต่อยอดความสำเร็จของ Exclusive Modern Residence แบรนด์ “บูก้าน” และไฮไลต์ที่สำคัญของโครงการแนวราบ ด้วยการกลับมาของบ้านเดี่ยวในระดับลักชัวรี แบรนด์ “นาราสิริ” 2 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 8,300 ล้านบาท

อ้างอิง
https://www.mgronline.com/stockmarket